9 Soi Ramindra 19 Yeak 1, Anusawaree, Bangkhen Bangkok 10220 Thailand

Mon – Fri: 8 AM – 5 PM / Sat – Sun: Closed

Atlanta Medicare Company Limited

Health & Ariticles

ทำไมร่างกายถึงต้องการ “โพรไบโอติก?

ทุกวันนี้เรามักได้ยินคำว่า “โพรไบโอติก (Probiotic)” กันอยู่บ่อยครั้ง ทั้งจากโฆษณาอาหารเสริม นมเปรี้ยว หรือผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพลำไส้ หลายคนรู้เพียงว่า “โพรไบโอติกคือจุลินทรีย์ตัวดีในร่างกาย” แต่ในความจริงแล้ว โพรไบโอติกมีบทบาทที่ลึกซึ้งและสำคัญกว่านั้นมาก เพราะเกี่ยวพันกับระบบภูมิคุ้มกัน การย่อยอาหาร สุขภาพจิต ไปจนถึงการป้องกันโรคต่างๆ ที่เกิดจากความไม่สมดุลภายในลำไส้

ลำไส้ อวัยวะที่เป็นมากกว่าทางเดินอาหาร

หลายคนอาจไม่รู้ว่า “ลำไส้” ไม่ได้ทำหน้าที่ย่อยอาหารเพียงอย่างเดียว แต่ยังเป็นศูนย์รวมของระบบภูมิคุ้มกันเกือบ 70% ของทั้งร่างกาย เพราะภายในลำไส้ของเรามี “จุลินทรีย์” อยู่มากกว่าจำนวนเซลล์ในร่างกายเสียอีก ราวๆ 100 ล้านล้านตัว

จุลินทรีย์เหล่านี้มีทั้ง “จุลินทรีย์ดี” และ “จุลินทรีย์ไม่ดี” ที่ต้องอยู่ร่วมกันอย่างสมดุล เมื่อใดที่สมดุลนี้ถูกรบกวน เช่น จากการ รับประทานยาปฏิชีวนะ การเครียดเรื้อรัง การนอนหลับไม่เพียงพอ หรืออาหารที่มีไขมันและน้ำตาลสูง จุลินทรีย์ไม่ดีจะเพิ่มจำนวนขึ้น ส่งผลให้เกิดปัญหาต่างๆ ตามมา เช่น

  • ท้องอืด ท้องเสีย หรือท้องผูก
  • ภูมิคุ้มกันลดลง
  • ผิวพรรณหมองคล้ำ
  • ภาวะลำไส้แปรปรวน (IBS)
  • อารมณ์หงุดหงิดง่าย หรือวิตกกังวล

นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไม “โพรไบโอติก” ถึงมีบทบาทสำคัญ เพราะมันคือ “ทัพเสริม” ที่ช่วยฟื้นสมดุลของระบบนิเวศในลำไส้ และดูแลสุขภาพจากภายในสู่ภายนอก

โพรไบโอติกคืออะไร?

โพรไบโอติก” หมายถึง จุลินทรีย์ที่มีชีวิต ซึ่งเมื่อรับประทานเข้าไปในปริมาณที่เหมาะสม จะให้ประโยชน์ต่อสุขภาพของเจ้าบ้าน (Host) หรือก็คือ “ตัวเรา” นั่นเอง

โดยโพรไบโอติกมีอยู่หลากหลายชนิด เช่น

  • Lactobacillus และ Bifidobacterium ซึ่งพบได้ทั่วไปในโยเกิร์ตและอาหารหมักดอง
  • Saccharomyces boulardii ซึ่งเป็น “ยีสต์ชนิดดี” ที่มักใช้ในผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทางการแพทย์

แต่ละสายพันธุ์มีคุณสมบัติแตกต่างกัน เช่น บางชนิดช่วยเรื่องภูมิคุ้มกัน บางชนิดช่วยย่อยแลคโตส และบางชนิดมีบทบาทเฉพาะในการป้องกันหรือบรรเทาอาการท้องเสีย

ทำไมร่างกายจึงขาดโพรไบโอติกได้ง่าย?

แม้ร่างกายเราจะมีจุลินทรีย์ดีอยู่แล้ว แต่ปัจจัยในชีวิตประจำวันสามารถทำลายสมดุลนี้ได้ง่ายกว่าที่คิด เช่น

  • การใช้ยาปฏิชีวนะ (ยาฆ่าเชื้อ) เป็นระยะเวลานาน ยาจะทำลายทั้งเชื้อร้ายและจุลินทรีย์ดีในลำไส้ ทำให้ระบบย่อยอาหารรวน
  • อาหารแปรรูป และน้ำตาลสูง เป็นแหล่งอาหารของจุลินทรีย์ไม่ดี ทำให้เกิดการอักเสบในลำไส้
  • ความเครียด ส่งผลต่อระบบประสาทที่เชื่อมกับลำไส้ ทำให้สมดุลจุลินทรีย์เสีย
  • การนอนหลับไม่เพียงพอและขาดการออกกำลังกาย ก็ทำให้ระบบลำไส้ทำงานช้าลง

เมื่อจุลินทรีย์ดีลดลง ร่างกายจะเกิดภาวะที่เรียกว่า “Dysbiosis” หรือความไม่สมดุลของจุลินทรีย์ ส่งผลให้เกิดการอักเสบในลำไส้ ภูมิคุ้มกันลดลง และอาจนำไปสู่โรคในระยะยาว เช่น เบาหวาน ความดัน หรือแม้แต่ภาวะซึมเศร้า

โพรไบโอติกกับสุขภาพโดยรวม เกี่ยวข้องกันมากกว่าที่คิด

หลายงานวิจัยพบว่า สุขภาพของ “ลำไส้” มีความสัมพันธ์กับเกือบทุกระบบในร่างกาย ตั้งแต่ระบบย่อยอาหาร ระบบภูมิคุ้มกัน ไปจนถึงระบบประสาท

  • ระบบภูมิคุ้มกัน: โพรไบโอติกช่วยกระตุ้นการสร้างเซลล์ภูมิคุ้มกัน และเพิ่มประสิทธิภาพในการต่อต้านเชื้อโรค
  • ระบบประสาทและอารมณ์: ลำไส้เป็นแหล่งผลิต “เซโรโทนิน” หรือฮอร์โมนแห่งความสุขถึง 90% การมีจุลินทรีย์ดีเพียงพอจึงช่วยให้อารมณ์ดี ลดภาวะเครียด
  • ผิวพรรณ: ลำไส้ที่อักเสบจะส่งผลต่อผิว ทำให้เกิดสิวหรือผิวหมองคล้ำ โพรไบโอติกช่วยฟื้นฟูจากต้นเหตุ
  • การขับถ่าย: โพรไบโอติกช่วยเพิ่มความสมดุลของจุลินทรีย์ ทำให้ระบบขับถ่ายเป็นปกติ

Saccharomyces boulardii — โพรไบโอติกยีสต์ที่ร่างกายไม่มีแต่ “ควรมี”

หนึ่งในโพรไบโอติกที่ได้รับการยอมรับในทางการแพทย์คือ Saccharomyces boulardii  ยีสต์สายพันธุ์ดีที่แตกต่างจากแบคทีเรียทั่วไป เพราะมัน “ไม่อาศัยอยู่ในร่างกายมนุษย์ตามธรรมชาติ” แต่สามารถเข้าไปทำหน้าที่ช่วยปรับสมดุลลำไส้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

จุดเด่นของ Saccharomyces boulardii ได้แก่:

  • ทนต่อยาปฏิชีวนะ ต่างจากโพรไบโอติกบางชนิดที่ถูกทำลายได้ง่าย ยีสต์ชนิดนี้ยังคงทำงานได้แม้รับประทานพร้อมยาฆ่าเชื้อ
  • ช่วยลดอาการท้องเสีย โดยเฉพาะอาการท้องเสียจากการติดเชื้อแบคทีเรียหรือหลังการใช้ยาปฏิชีวนะ
  • ช่วยปรับสมดุลลำไส้และลดการอักเสบ ทำให้ระบบขับถ่ายดีขึ้น เหมาะกับผู้มีปัญหาท้องอืด ลำไส้แปรปรวน หรือ IBS
  • เสริมภูมิคุ้มกันและลดโอกาสติดเชื้อซ้ำ โดยกระตุ้นการสร้างสารต้านอนุมูลอิสระและต้านการอักเสบ
  • ช่วยบรรเทาอาการริดสีดวงทวาร ที่มักเกิดจากความผิดปกติของลำไส้ใหญ่

หลายคนที่เคยมีประสบการณ์ “ท้องเสียหลังจากกินยาฆ่าเชื้อ” คงเข้าใจดีว่าร่างกายรู้สึกอ่อนเพลียและไม่สบายท้องเพียงใด นั่นเพราะยาฆ่าเชื้อได้ทำลายจุลินทรีย์ดีในลำไส้ออกไปพร้อมกับเชื้อโรค

ดังนั้นการเสริมโพรไบโอติก โดยเฉพาะสายพันธุ์ที่ทนต่อยาปฏิชีวนะอย่าง Saccharomyces boulardii จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่แพทย์หลายท่านแนะนำ เพื่อช่วยฟื้นฟูสมดุลของระบบทางเดินอาหารหลังการใช้ยา

ฟื้นฟูสุขภาพลำไส้อย่างยั่งยืน เริ่มจากจุลินทรีย์ที่สมดุล

การดูแลลำไส้ไม่จำเป็นต้องพึ่งอาหารเสริมเพียงอย่างเดียว แต่ควรทำควบคู่กันไปกับการปรับพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน เช่น

  • รับประทานอาหารที่มีเส้นใยสูง เช่น ผัก ผลไม้ ธัญพืชไม่ขัดสี
  • ดื่มน้ำให้เพียงพอ
  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
  • พักผ่อนให้เพียงพอ
  • หลีกเลี่ยงอาหารมันจัด หวานจัด หรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

และเมื่อมีความจำเป็นต้องใช้ยาฆ่าเชื้อ หรืออยู่ในภาวะที่จุลินทรีย์ในลำไส้ถูกทำลาย การเสริม “โพรไบโอติกที่ถูกชนิด” เช่น Saccharomyces boulardii จะช่วยให้ร่างกายกลับมาสมดุลได้เร็วขึ้น

สุขภาพดี เริ่มต้นที่ลำไส้

โพรไบโอติกไม่ใช่เพียงแค่ “จุลินทรีย์ในโยเกิร์ต” แต่เป็นหัวใจของการดูแลสุขภาพจากภายใน เพราะเมื่อจุลินทรีย์ในลำไส้สมดุล ร่างกายก็สามารถย่อยอาหารได้ดี ดูดซึมสารอาหารได้เต็มที่ ภูมิคุ้มกันแข็งแรง และยังส่งผลให้อารมณ์สดใสขึ้นอีกด้วย

ในยุคที่เราต้องเผชิญกับมลภาวะ ความเครียด และอาหารแปรรูป โพรไบโอติกจึงไม่ใช่ทางเลือกอีกต่อไป แต่เป็น “สิ่งจำเป็น” ที่ร่างกายต้องการ เพื่อคงความสมดุลและสุขภาพที่ดีอย่างยั่งยืน


ดูแลลำไส้ให้แข็งแรง ด้วยการเติม “จุลินทรีย์ดี” ให้เพียงพอในทุกๆ วัน
เพราะสุขภาพที่ดี ไม่ได้เริ่มจากภายนอก แต่เริ่มจากภายในที่สมดุล

FAQ

1. โพรไบโอติกคืออะไร?

โพรไบโอติก (Probiotic) คือ จุลินทรีย์ชนิดดีที่มีชีวิต ซึ่งเมื่อรับประทานเข้าไปในปริมาณที่เหมาะสม จะช่วยสร้างสมดุลให้ระบบทางเดินอาหาร เสริมภูมิคุ้มกัน และลดการเจริญของเชื้อโรคในลำไส้ โดยมักอยู่ในรูปของแบคทีเรีย เช่น Lactobacillus, Bifidobacterium หรือยีสต์ชนิดดีอย่าง Saccharomyces boulardii


2. โพรไบโอติกต่างจากพรีไบโอติกไหม?

  • โพรไบโอติก (Probiotic) คือ “จุลินทรีย์มีชีวิต”
  • พรีไบโอติก (Prebiotic) คือ “อาหารของจุลินทรีย์ดี” เช่น ใยอาหารจากกล้วย หอมหัวใหญ่ หรือธัญพืช
    ทั้งสองอย่างมักทำงานร่วมกัน หากรับประทานควบคู่จะช่วยให้จุลินทรีย์ดีในลำไส้เติบโตได้ดีขึ้น

3. ใครบ้างที่ควรเสริมโพรไบโอติก?

โพรไบโอติกเหมาะกับทุกคน โดยเฉพาะกลุ่มที่มีความเสี่ยง “เสียสมดุลจุลินทรีย์ในลำไส้” เช่น

  • ผู้ที่ใช้ยาปฏิชีวนะบ่อย
  • ผู้ที่มีอาการท้องเสียหรือท้องผูกบ่อย
  • ผู้ที่มีภาวะลำไส้แปรปรวน (IBS)
  • ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เครียด หรือนอนน้อย

4. ถ้ากินโยเกิร์ตก็พอแล้วไหม ยังต้องเสริมโพรไบโอติกอีกหรือเปล่า?

โยเกิร์ตมีโพรไบโอติกจริง แต่ปริมาณจุลินทรีย์มักไม่มากพอที่จะให้ผลทางสุขภาพ และบางชนิดถูกทำลายในกระเพาะก่อนถึงลำไส้
ดังนั้นการเสริมโพรไบโอติกในรูปแบบแคปซูลที่มีการควบคุมจำนวน และชนิดจะให้ผลชัดเจนกว่า


5. โพรไบโอติกช่วยเรื่องอะไรได้บ้าง?

ประโยชน์หลักของโพรไบโอติก ได้แก่

  • ปรับสมดุลระบบทางเดินอาหาร
  • ลดอาการท้องเสียและท้องผูก
  • ช่วยลดการอักเสบในลำไส้
  • เสริมภูมิคุ้มกันของร่างกาย
  • ช่วยลดโอกาสติดเชื้อทางเดินอาหาร
  • บางสายพันธุ์ยังช่วยดูแลผิวพรรณและสุขภาพจิตได้ด้วย

6. Saccharomyces boulardii คืออะไร ต่างจากโพรไบโอติกทั่วไปไหม?

Saccharomyces boulardii เป็น “ยีสต์สายพันธุ์ดี” ที่อยู่ในกลุ่มโพรไบโอติก
ต่างจากแบคทีเรียทั่วไปเพราะ

  • ไม่ถูกทำลายด้วยยาปฏิชีวนะ
  • ทนต่อกรดในกระเพาะได้ดี
  • มีงานวิจัยรองรับว่าช่วยลดอาการท้องเสียเฉียบพลันและฟื้นฟูสมดุลในลำไส้หลังใช้ยาฆ่าเชื้อ
    จึงเป็นโพรไบโอติกที่แพทย์มักแนะนำในกรณีลำไส้ไม่แข็งแรงหรือหลังใช้ยา

7. ควรรับประทานโพรไบโอติกเวลาไหนดีที่สุด?

เวลาที่ดีที่สุดคือ ขณะท้องว่างหรือก่อนอาหารประมาณ 30 นาที เพื่อให้จุลินทรีย์เดินทางผ่านกระเพาะไปถึงลำไส้ได้มากที่สุด
แต่สำหรับโพรไบโอติกชนิด Saccharomyces boulardii สามารถรับประทานพร้อมอาหาร หรือแม้แต่ขณะใช้ยาปฏิชีวนะได้ เพราะทนต่อกรดและยา


8. ต้องกินโพรไบโอติกนานแค่ไหนถึงเห็นผล?

ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายและปัญหาสุขภาพ
โดยทั่วไปจะเริ่มเห็นผลภายใน 1–2 สัปดาห์ เช่น ระบบขับถ่ายดีขึ้น ท้องไม่อืด
หากต้องการฟื้นฟูลำไส้หลังใช้ยาฆ่าเชื้อหรือมีภาวะลำไส้แปรปรวน ควรใช้ต่อเนื่องอย่างน้อย 4–8 สัปดาห์ เพื่อให้สมดุลจุลินทรีย์กลับมาคงที่


9. โพรไบโอติกมีผลข้างเคียงไหม?

โดยทั่วไป ปลอดภัยสูงมาก เพราะเป็นจุลินทรีย์ธรรมชาติในร่างกาย
อาจมีอาการท้องอืดเล็กน้อยในช่วงแรกซึ่งจะหายไปเองภายในไม่กี่วัน
แต่หากมีโรคประจำตัวร้ายแรง เช่น ภูมิคุ้มกันบกพร่อง ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่มรับประทาน


10. จะเลือกโพรไบโอติกอย่างไรให้ได้ผล?

หลักง่าย ๆ คือ

  1. เลือกชนิดที่มี สายพันธุ์ชัดเจนและมีงานวิจัยรองรับ
  2. ดูค่าจำนวนจุลินทรีย์ (CFU) ควรอยู่ในระดับ ล้านถึงพันล้านหน่วย
  3. เลือกสูตรที่ทนต่อกรดและความร้อน เช่น Saccharomyces boulardii

ตรวจสอบวันหมดอายุ และควรเก็บในที่แห้งเย็น

Other Health & Articles

งานประชุมวิชาการ 54th CME “ Bridging the Gap : Integrated Approachs to HIV Treatment and Prevention”

งานประชุมวิชาการ CME ครั้งที่ 54 จัดโดยบริษัท แอตแลนต้า เมดดิคแคร์ จำกัด ณ โรงแรม Avani Hotel จังหวัดขอนแก่น  ในวันที่ 8 พฤศจิกายน  2568 ในหัวข้อ “ Bridging the Gap : Integrated Approachs to HIV Treatment and Prevention”...

APCCMI 2025 (The 20th Asia Pacific Congress of Clinical Microbiology and Infection )

บริษัท แอตแลนต้า เมดดิคแคร์ จำกัด ขอขอบคุณทุกท่านที่แวะมาเยี่ยมชมบูธของเราในงาน APCCMI ณ ICON SIAM ปีนี้ เราได้มีโอกาสนำเสนอผลิตภัณฑ์กลุ่มยา TB และ ARVs พร้อมร่วมจัด Lunch Symposium...

HER & HERS LINGORM 1st FANCON หลิง-ออม

บริษัท แอตแลนต้า เมดดิคแคร์ จำกัด ร่วมออกบูธวิตามินเม็ดฟู่ แอตแลนต้าฟู่ฟิน in fancon ในงาน HER & HERS LINGORM 1st FANCON หลิง-ออม ซึ่งทางบูธ บริษัท แอตแลนต้า เมดดิคแคร์ จำกัด มีกิจกรรมให้ร่วมสนุก ลุ้นของรางวัล และชิมฟรี...